ยินดีต้อนรับเข้าสู่อำเภอเวียงแหง

ที่เที่ยวที่ไม่เหมือนใคร

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วัดฟ้าเวียงอินทร์

วัดฟ้าเวียงอินทร์ วัดสองแผ่นดิน

   วัดฟ้าเวียงอินทร์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2400 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยใหญ่ อาคารเสนาสนะประกอบด้วย หอสวดมนต์ หอฉัน ศาลาจำศีล และกุฏิสงฆ์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีเจดีย์เป็นปูชนียวัตถุ วัดนี้ตั้งอยู่ที่บ้านหลักแต่งตรงชายแดนไทย-พม่าพอดี สมัยก่อนบริเวณบ้านหลักแต่งนี้ถือเป็นเขตอิทธิพลของขุนส่า อาณาเขตของวัดนี้จึงนับเป็นดินแดนเดียวกันแต่เมื่อขุนส่ามอบตัวแก่รัฐบาลทหารพม่า ดินแดนวัดจึงถูกแยกเป็นสองส่วน มีเจดีย์สีเหลืองทองอร่ามอยู่ในแดนไทยและจะมองเห็นหลังคาโบสถ์สีแดงทรงไทยใหญ่อยู่ในฝั่งพม่า ด้านหลังเป็นศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ชาวบ้านให้ความเคารพมาก และที่เชิงเขาด้านหลังเป็นสุสานนายพลโมเฮงอดีตผู้นำชาวไทยใหญ่ที่นี่


   วัดฟ้าเวียงอินทร์
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนไทยและพม่า

พระวิหาร ศิลปะไทยใหญ่
             วัดฟ้าเวียงอินทร์นี้ ตั้งอยู่ที่ บ้านหลักแต่ง หมู่ 1 ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์นิกายมหายาน ติดกับบ้านป๋างก้ำก่อ ตำบลปางยาง อำเภอเมืองต๋น เขตรัฐฉาน พม่า
 ด้วยเหตุที่พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนไทย - พม่า ได้ชื่อว่าเป็นภาษาไตว่า “กองมูแหลนหลิน” คำว่า “กองมู” หมายถึง เจดีย์ คำว่า “แหลนหลิน” หมายถึง เขตแดนหรือชายแดน
             ภายในบริเวณวัดทางฝั่งไทยประกอบด้วยหอสวดมนต์ เจดีย์ทอง หอระฆัง กุฏิสงฆ์ ศาลา วิหารหลังใหม่ (ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕) ศาลาจำศีล ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ของวัด ทางฝั่งพม่ามีสิ่งก่อสร้างคือ อุโบสถหลังเก่า โรงนอนพระ และด้านหลังของโรงนอนมีที่พักของทหารพม่า
 
    พระเจดีย์ มาระชินะเจดีย์ เป็นศิลปะแบบไทยใหญ่                   พระประธานภายในวิหาร 

          “เจดีย์วัดฟ้าเวียงอินทร์นั้นแต่เดิมสันนิษฐานว่า สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จมาปราบศึกพม่าที่มารุกรานไทย พระองค์อาจสร้างเจดีย์ไว้ สันนิษฐานว่าอาจเป็นช่วงเดียวกับที่สร้างพระธาตุแสนไห”
                       
              เจดีย์ทองวัดฟ้าเวียงอินทร์ มีลักษณะศิลปกรรมแบบไทยใหญ่มียอดเรียวแหลม เจดีย์องค์กลางเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างครอบเจดีย์องค์เก่า และมีเจดีย์เล็กๆเรียงรายอยู่โดยรอบ ๖ องค์ ฐานเจดีย์เป็นฐาน ๑๒  เหลี่ยม ความสูงของฐานประมาณ ๓ เมตร ใต้ฐานของเจดีย์ถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ          
          สิ่งสำคัญที่สุดขององค์เจดีย์ทองแห่งนี้ก็คือ ที่ใต้ฐานเจดีย์นี้ มีจารึกพระธาตุมารชินะเจดีย์ ซึ่งเป็นจารึกภาษาไทยใหญ่ บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของการสร้างวัด และการบรูณะซ่อมแซมหลังการก่อสร้างครั้งแรก วัดนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นหลังปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นปีที่เจ้ากองเจิง (พลเอกโมเฮง ชนะศึก) หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐฉานผู้นำขบวนการกู้ชาติไทยใหญ่ มาตั้งถิ่นฐานบริเวณชายแดนไทย
           “วัดฟ้าเวียงอินทร์หรือวัดหลักแต่ง คือ อนุสรณ์สถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยใหญ่ ซึ่งชาวไตถือว่าสถานที่นี้เป็นเสมือนดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ หลังจากที่ต้องเร่ร่อนหลบหนีการขับไล่ของทหารพม่า ด้วยความหวังที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ตนได้อย่างสันติสุข”
วัดฟ้าเวียงอินทร์ฝั่งพม่า

5 ชนเผ่าหลังเขาในเวียงแหง

5 ชนเผ่า

ชนเผ่าลีซู(ลีซอ)

ลีซูเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มธิเบต – พม่า ของชนชาติโลโล ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของชนเผ่าลีซูอยู่บริเวณต้นน้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน   อยู่เหนือหุบเขาสาละวินในเขตมณฑลยูนนานตะวันตกเฉียงเหนือและตอนเหนือของรัฐคะฉิ่น ประเทศพม่า ชนเผ่าลีซูส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อ ๔,๐๐๐ปีที่ผ่านมาพวกตนเคยมีอาณาจักร เป็นของตนเอง แต่ต้องเสียดินแดนให้กับจีนและกลายเป็นคนไร้ชาติต่อมาชนเผ่าลีซู จึงได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่รัฐฉานตอนใต้ กระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาในเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองเชียงตุง บางส่วนอพยพไปอยู่เขตเมืองซือเหมา สิบสองปันนา ประเทศจีน หลังจากนั้นได้อพยพลงมา ทางใต้เนื่องจากเกิดการสู้รบกันระหว่างชนเผ่าอื่น นับเวลาหลายศตวรรษ ชนเผ่าลีซูได้ถอยร่นเรื่อยลงมา จนในที่สุดก็แตกกระจายกัน เข้าสู่ประเทศพม่า จีน อินเดีย แล้วเข้าสู่ประเทศไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2464 กลุ่มแรกมี 4 ครอบครัว มาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนครั้งแรกอยู่ที่บ้านห้วยส้าน อ.เมือง จ.เชียงราย อยู่ได้โดยประมาณ 5-6 ปี ก็มีการแยกกลุ่มไปอยู่หมู่บ้านดอยช้าง ทำมาหากินอยู่แถบ ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ชาวลีซู ถึงเรื่องราวการอพยพว่า  ได้อพยพมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของเมืองเชียงตุงประเทศพม่า เข้ามาตั้งถิ่น ฐานอยู่ที่บ้านลีซูห้วยส้าน อ.เมือง จ.เชียงราย และโยกย้ายไปตั้งบ้านเรือน ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก พะเยา กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ แพร่และสุโขทัย ลีซูไม่มีภาษาเขียนของตนเองลีซูแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลีซูลายกับลีซูดำ ชาวลีซูที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นลีซูลาย ส่วนลีซูดำนั้นอยู่ พม่า จีน

จีนยูนาน

ชาวจีนที่ส่วนหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยนั้นคนไทยหรือคนล้านนารู้จักกันดีว่าเป็น “จีนฮ่อ” หรือ “คนฮ่อ” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เดินทางค้าขายระหว่างจีนตอนไต้กับเมืองต่างๆในรัฐฉาน ล้านนา และพม่า ดังนั้นคนจีนมีมาจากภูเขาทางตอนเหนือของประเทศไทยในปัจจุบันจึงเรียกวาจีนฮ่อและพม่าเรียกว่า “จีนภูเขา” (ภูวดล, 2549, 503)การศึกษาทบทวนความรู้เรื่องจีนฮ่อในประเทศไทยนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจและหาความหมายเกี่ยวกับคำว่าฮ่อ มีศาสตราจารย์เจีย ยัน จองและนักวิจัยสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบทที่ตีพิมพ์เผยแพร่ความหมายของคำว่าจีนฮ่อและจีนฮ่อในมิติต่างๆในฐานะที่เป็นชาติพันธุ์หนึ่ง โดยที่การศึกษานี้ใช้การอธิบายของนรเศรษฐ พิสิทฐพันพร 2548สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย จีนฮ่อ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดลเรียบเรียงเป็นประเด็นต่างๆได้ดังนี้ (เจีย เยนจอง ,2537,114-118และนรเศรษฐ 2548)ชาวจีนจากมณฑลยูนนานได้เดินทางค้าขายในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยมาช้านานแล้ว พ่อค้าชาวจีนจากมณฑลยูนนานเหล่านี้มีชื่อเรียกในภาษาล้านนาว่า “ฮ่อ” คำว่าฮ่อ หมายถึงชาวจีนซึ่งอยู่ที่มณฑลทางใต้ของจีน (เช่น จากมณฑลยูนนาน) และอาจจะรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่มาจากมณฑลนี้หรือมาจากมณฑลใกล้เคียงด้วย (เช่น จากมณฑลกวางสี และมณฑลเสฉวน)


 ไทยใหญ่(ไต)
ชาวพม่าเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ ว่า Shan ในเขตประเทศจีนชนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่าไทยใหญส่วนคนไทย และคนลาวเรียกชนกลุ่มนี้ว่า เงี้ยว ส่วนพวก Kachins เรียกพวกนี้ ว่า Sam (Lebar and others’ 1964,p.192) คนไทยใหญเองเรียกตัวเองว่า “ไต” ไทยใหญตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณพม่า ลาวไทยและในเขต ประเทศ จีน ตอนใต้ ในประเทศไทยพบชาวไทใหญอยู่ในจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์และ แม่ฮ่องสอนหมู่บ้านของชาวไทยใหญจะตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มหุบเขา หรือบริเวณ ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ บ้านเรือนสร้างจากไม้ไผ่ยกพื้นสูงประมาณ ๘ ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าแห้งภายในบ้านจะมีเตาไฟมีห้องนอน บ้านแต่ละหลังจะมีสวนล้อมรอบ สัตว์เลี้ยงจะผูกอยู่บริเวณประตููบ้าน ชาวไทยใหญ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวโดยการ วิดน้ำเข้านาแบบนาดำโดยมีแปลงเพาะกล้าส่วนบริเวณที่มีน้ำน้อย จะใช้วิธีปลูกข้าวบนที่ดอน พืชชนิดอื่นๆ ที่ปลูกได้แก่ ฝ้าย ยาสูบ อ้อย ข้าวโพด ถั่ว มะเขือเทศ ส้ม กล้วย มะนาว มะม่วง มะละกอ เป็นต้น สัตว์เลี้ยงได้แก่ วัว ควาย ม้า หมูไก่ เป็นต้น อุตสาหกรรมในครัวเรือนของ ไทยใหญ ได้แก่ การปั้นหม้อไห การแกะสลักการทำเครื่องเงิน การทอผ้าฝ้าย การทำกระดาษ เป็นต้น หน้าที่ของผู้หญิง ชาวไทยใหญ ได้แก่ ทอผ้า ตักน้ำ เก็บฟืน ตำข้าว ทำอาหาร จ่ายตลาดส่วนผู้ชาย ทำหน้าที่สร้างบ้านเรือน ทำนาทำไร่ อย่างไรก็ตามชายหญิง จะช่วยกันเพาะปลูกในฤดูหว่านไถและ เก็บเกี่ยว

กะเหรี่ยง

กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่จัดได้ว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ หลายภาษา มีการนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่กะเหรี่ยงดั้งเดิมจะนับถือผี เชื่อเรื่องต้นไม้ป่าใหญ่ ภายหลังหันมานับถือพุทธ คริสต์ เป็นต้น กะเหรี่ยง มีถิ่นฐานตั้งอยู่ที่ประเทศพม่า แต่หลังจากถูกรุกรานจากสงคราม จึงมีกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ประเทศไทย กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย กะเหรี่ยงสะกอ หรือที่เรียกนามตัวเองว่า ปากะญอ หมายถึงคน หรือมนุษย์นั้นเอง กะเหรี่ยงสะกอเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยมีมิชชันนารีเป็นผู้คิดค้นดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสมภาษาโรมัน กลุ่มนี้หันมานับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ กะเหรี่ยงโปร์นั้นเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเคร่งครัดในประเพณี พบมากที่ อำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และแถบตะวันตกของประเทศไทย คือ กะเหรี่ยงบเว พบที่ อำเภอ ขุนยวม แม่ฮ่องสอน ส่วนปะโอ หรือตองสูก็มีอยู่บ้าง แต่พบน้อยมากในประเทศไทย ชนเผ่า "ปกากะญอ" เป็นชนเผ่าที่บอกกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมานับร้อยนับพันเรื่อง เรียงร้อยเก็บไว้ในเเนวของนิทาน อาจจะไม่ใช่หลักฐานที่เเน่ชัด เเต่ก็พยายามที่จะเล่าสืบทอดให้ลูกหลานได้รู้ ถึงความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ และวัฒนธรรมของตัวเอง เล่ากันตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าสร้างโลก พระองค์ได้สร้างมนุษย์ คู่แรก คือ อดัม กับเอวา ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสวน (เอเดน) ที่พระองค์ได้สร้างไว้ ทั้งสองได้ทำ ผิดกฎ ของสวรรค์ จึงถูกเนรเทศลงมาใช้กรรมอยู่ในโลกจนกระทั่งมีลูกหลานสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้

ชาวล้านนา (คนเมือง)
เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 บริเวณภาคเหนือตอนบน ของประเทศไทยซึ่งรวมไปถึง ดินแดนบางส่วนของประเทศพม่า จีน ลาว เคยเป็นที่ตั้งของชนกลุ่มหนึ่งที่มีการปกครองเป็นแคว้นอิสระ ในชื่อที่เรียกกันว่า ล้านนากลุ่มบ้านเมืองกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กันทั้งในทางการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา ประเพณี และศิลปวัฒนธรรม มีเมืองเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางการปกครอง และมีความเจริญรุ่งเรืองมากในช่วง พุทธศตวรรษที่ 20-21 และได้เสื่อมสลายลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 แต่ได้พยายามกอบกู้เอกราชได้บ้างเป็นครั้งคราว จนถึงพุทธศตวรรษที่ 24 ได้ตกเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงรัตนโกสินทร์ และได้ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ ประเทศสยาม ในพุทธศตวรรษที่ 25 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของล้านนา ได้หล่อหลอมให้ผู้คนในดินแดนแห่งนี้มีแบบแผนทางศิลป วัฒนธรรม ประเพณี ต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นของตนเอง มีความแตกต่างไปจากผู้คนในดินแดนอื่น

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

น้ำตกแม่หาด


น้ำตกแม่หาด คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ามาเยือน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง โดยน้ำตกอยู่ที่ บ้านแม่หาด หมู่ 1 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ 

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประเพณีปอยส่างลองของชาวไทยใหญ่

งานประเพณีปอยส่างลอง (บวชลูกแก้ว)

ประวัติความเป็นมา   งานประเพณีปอยส่างลองหรืองานบวชลูกแก้ว เป็นประเพณีบวชเณรตามธรรมเนียมของชาวไทยใหญ่ เพื่อให้บุตรหลานได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและมีความเชื่อว่าจะได้รับบุญกุศลจากการบวชสามเณร งานนี้จัดให้มีขึ้นช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน โดยชาวบ้านจะตกลงกันกำหนดวันนัดหมายให้ลูกหลานได้บวชเรียนพร้อมๆ กัน มีการประดับประดาผู้ที่จะบวชด้วยเครื่องประดับมีค่าอย่างสวยงาม และประกอบพิธีบวชตามวัดที่เจ้าภาพศรัทธา
   แต่เดิมปอยส่างลองเป็นประเพณีที่จัดเฉพาะในหมู่ญาติมิตรของเจ้าภาพ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2525 ได้เกิดมีแนวความคิดใหม่โดยจัดเป็นบรรพชาหมู่ร่วมกันมากถึง 200 รูป เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ทำให้ในเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนนิยมจัดบรรพชาหมู่สืบต่อมาถึงปัจจุบัน ปอยส่างลองจึงได้กลายเป็นประเพณีที่จูงใจให้มีผู้สนใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน


ลักษณะกิจกรรม

  
 วันที่ 3 เรียกว่า “วันข่ามส่าง” เป็นวันบรรพชาสามเณรโดยการแห่ส่างลองไปตามถนนอีกครั้ง จากนั้นไปรวมกันที่วัดเพื่อทำพิธีบวชและเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนะรรมและประเพณีอันดีงามของชาวไทยใหญ่ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้จัดงานประเพณีบวชลูกแก้ว “ปอยส่างลอง”

    งานปอยส่างลองหรืองานประเพณีบรรพชาสามเณรตามแบบไทยใหญ่ กำหนดจัดขึ้นประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปีในทุกอำเภอของจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่สำหรับประเพณีปอยส่างลองในเขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนนับเป็นการจัดงานที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุดเนื่องจากมีขบวนแห่ส่างลองที่สวยงาม มีกิจกรรมที่สำคัญดังนี้
   วันที่ 1 เรียกว่า “วันแห่ส่างลอง” โดยนำเด็กชายเข้าพิธีโกนแต่ไม่โกนคิ้ว (พระพม่าไม่โกนคิ้ว) แต่งหน้าทาปาก สวมเสื้อผ้าสวยงาม สวมถุงเท้ายาว นุ่งโสร่งและโพกผ้าแบบพม่า ประดับด้วยมวยผมของบรรพบุรุษที่เก็บรักษาไว้แล้วตกแต่งด้วยดอกไม้ เสร็จขั้นตอนนี้แล้วจะเรียกเด็กเหล่านี้ว่า “ส่างลอง” นำส่างลองไปขอขมาและรับศีลรับพรตามบ้านญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ
   วันที่ 2 เรียกว่า “วันแห่ครัวหลู่” มีการแห่ส่างลองกับเครื่องไทยทานจากวัดไปตามถนนสายต่างๆ จะมีผู้เข้าร่วมขบวนแห่เป็นจำนวนมาก โดยจะให้ส่างลองขี่ม้าหรือหากไม่มีม้าก็จะขี่คอคน ซึ่งเรียกว่าพี่เลี้ยง หรือ “ตะแปส่างลอง” มีกลดทอง หรือ “ทีคำ” แบบพม่ากันแดด ตอนเย็นมีพิธีเรียกขวัญส่างลอง และข่ามแขกเป็นการรับแขกตอนกลางคืนอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งมีการแสดงและมหรสพสมโภชตามประเพณีไทยใหญ่

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

อำเภอเวียงแหง


เป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดนไทยพม่า มีคนหลายเชื้อชาติอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ทั้งชาวเขา ไทยใหญ่ จีนฮ่อ แต่ละกลุ่มต่างก็ยังดำรงชีวิตตามขนบธรรมเนียมเดิมของตนเอง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ส่วนใหญ่จะปลูกข้าว เพราะมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบกว้างใหญ่ใจกลางหุบเขา ชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเพราะความเจริญยังแพร่มาไม่มากนัก เนื่องจากการสัญจรไปมาต้องผ่านเส้นทางคดเคี้ยวสูงชันเลาะขุนเขาหลายลูกกว่าจะเข้าถึงได้ ปัจจุบันพึ่งมีถนนลาดยางตัดเข้าถึง จึงเหมือนเป็นการเปิดอำเภอนี้สู่โลกภายนอกอย่างแท้จริง

แต่ในขณะเดียวกันทางอำเภอมีนโยบายที่จะแบ่งเขตการพัฒนา โดยตำบลเมืองแหงเป็นที่อยู่อาศัยและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี โบราณสถาน ตำบลแสนไหเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและการเกษตร ตำบลเปียงหลวงเป็นพื้นที่ธุรกิจการค้าขายชายแดน

การเดินทาง
หากจะเดินทางมาที่อำเภอนี้โดยรถยนตร์ส่วนตัวใช้ทางหลวง 107 และแยกซ้ายที่เมืองงายเข้าทางหลวง 1322 ระยะทาง 72 กิโลเมตร แต่หากมาโดยรถประจำทางขึ้นรถที่ท่ารถถนนช้างเผือก สายดาวทอง (เวียงแหง-เปียงหลวง) เป็นรถตู้และรถมินิบาส รถออก เวลา 07.30,10.30,13.30 และ 15.30 น. จากเวียงแหงรถออกตรงหน้าตลาด เวลาออกเดียวกัน. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ค่ารถ 150 บาท